skip to Main Content
032-706906 info@wfft.org

ขอความเป็นธรรมคณะกรรมาธิการการกฎหมาย


Complaint from W.F.F.T. to the Parliamentary committee on law and human rights regarding
unlawful harassment and raids on the WFFT foundation by the DNP director-general and his gang

ที่ ร.55-07/กก-17
วัน ที่ 16 กรกฎาคม 2555
เรื่อง ขอความเป็นธรรม

เรียน คณะกรรมาธิการการกฎหมาย ยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน

สิ่งที่แนบมา
1.หมายคน้ ของศาล จงั หวดั เพชรบุรี ที่ 66/2555 และบนั ทึกการจบั กมุ จาก13-27 กุมภาพนั ธ์ 2555
2.สาเนาการจดทะเบียนจดัต้งัมูลนิธิและสาเนาขอ้บงัคบัของมลูนิธิ
3.สาเนาชื่อในกลุ่มอนุสัญญาไซเตส
4.สาเนาการขออนุญาตสถานพยาบาลและดาเนินกิจการโรงพยาบาลสัตว์
5.ภาพข่าวผลงานกิจกรรมต่างๆของมูลนิธิฯ

สืบเนื่องจาก นายวันชัย สิงห์โต เจ้าพนักงานชุดปฏิบัติตามหมายค้นของศาล จังหวัดเพชรบุรี ที่ 66/2555 ที่แนบมา 1 ได้นำทีมเจ้าพนักงานเข้าบุกค้นพื้นที่ของมูลนิธิเพื่อนสัตว์ป่า โดยมี นายดำรงค์ พิเดช มีตำแหน่ง เป็นอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และ พันธุ์พืช เป็นผู้บริหารงานสูงสุดในองค์กรดังกล่าว มีหน้าที่ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐภายใต้บังคับบัญชาให้ ปฏิบัติงานตามกฎหมาย อย่างเคร่งครัดและถูกต้อง เที่ยงธรรม ตามขั้นตอนระเบียบของกฎหมาย โดยไม่เลือกปฏิบัติ แต่หาได้ปฏิบัติหน้าที่ที่ถูกต้องกับมูลนิธิฯไม่ ตรงกันข้ามได้ ร่วมกันกลั่นแกล้งให้ร้าย ให้ต้องได้รับโทษทางอาญา อันเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ด้วยกฎหมาย หลายประการของเจ้าหน้าที่ กล่าวถึงมูลนิธิเพื่อนสัตว์ป่า จดทะเบียนต่อนายทะเบียนสมาคม โดยใช้ชื่อว่า “มูลนิธิเพื่อนสัตว์ป่า” มีวัตถุประสงค์ให้ความช่วยเหลือชีวิตสัตว์ป่าที่ได้รับบาดเจ็บ จัดสถานที่ ดูแลรักษา และพักฟื้นสัตว์ป่า ให้กลับคืนสู่สภาพที่จะดำรงชีวิตอยู่ต่อไปตามธรรมชาติได้ พร้อมส่งเสริมงานวัฒนธรรม และดำเนินการเพื่อสาธารณประโยชน์ ได้รับอนุญาตเลขที่ ต.271/2545 เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2545 รายละเอียดปรากฏตามสำเนา เอกสารใบอนุญาตจัดตั้งสมาคมหรือองค์การ ตามที่แนบมา2 โดยได้ดำเนินงานตามวัตถุประสงค์มาโดยตลอดจนถึงปัจจุบันเป็นเวลา 10 ปีเศษแล้ว อีกทั้งได้ดำเนินกิจกรรมในจังหวัดเพชรบุรีและจังหวัดใกล้เคียง ตลอดจนทั่วราชอาณาจักรไทย โดยมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่บ้านเลขที่ 219 หมู่ 9 ตำบลท่าไม้รวก อำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี มูลนิธิเพื่อนสัตว์ป่า เป็นองค์กรเอกชนในประเทศไทย ที่ผ่านมาตรฐานโลกเป็นที่ยอมรับ ของกลุ่มประเทศภายใต้อนุสัญญาไซเตส ตามเอกสารที่แนบมา 3 และเป็นองค์กรที่ทั่วโลกรู้จักเป็นอย่างดีว่าได้ทำงานด้านอนุรักษ์สัตว์ป่า อภิบาลสัตว์ป่าที่ได้รับบาดเจ็บ โดยมีองค์กรเอกชนอื่นทั่วโลกได้ให้การสนับสนุนเงินทุนทรัพย์และบุคลากร อุปกรณ์ สิ่งของ เครื่องใช้ต่างๆ เพื่อให้สัตว์มีชีวิตที่ปลอดภัย มีความสุข มีการแบ่งเขตการอยู่ของสัตว์อย่างเป็นสัดส่วน มีโรงพยาบาลสัตว์ที่มีมาตรฐาน ได้รับใบอนุญาตถูกต้องตามกฎหมายตามที่แนบมา4 เป็นที่ยอมรับจากคนทั่วไปและทั่วโลก นับว่าเป็นองค์กรเอกชนที่มีจิตสาธารณะทำงานเพื่อสัตว์อย่างแท้จริง จนได้รับรางวัลดีเด่นจาก (IPPL) International Primate Protection League ในวันที่ 14 เมษายน 2555 ที่ผ่านมา จากองค์กรสัตว์คุ้มครองสัตว์ป่าระหว่างประเทศ ที่สหรัฐอเมริกา และอื่นๆอีกมากมายตามที่แนบมา 5

มูลนิธิฯ มักจะได้รับคำร้องเรียนให้เข้าช่วยเหลือ รักษา และดูแลสัตว์ป่าคุ้มครองชนิดต่างๆอยู่บ่อยครั้ง ในบางกรณี ทางมูลนิธิฯจำเป็นต้องจัดหาที่พักพิง ทั้งชั่วคราวและถาวรให้กับสัตว์ป่าเหล่านี้ ซึ่งทำให้ปัจจุบันนี้ มูลนิธิฯมีสัตว์ป่าคุ้มครองอยู่ในความดูแลเป็นจำนวนหนึ่ง ปัจจุบันนี้ทางมูลนิธิฯมีสัตว์ป่าในความดูแลเกือบ 300 ชีวิต อาทิเช่น ช้าง,ชะนี,ลิงชนิดต่างๆ,ค่างแว่นถิ่นใต้,หมีหมา,หมีควาย,เสือโคร่ง,อีเห็น,ลิงลม ฯลฯ ซึ่งสัตว์เหล่านี้ล้วนแต่เป็นสัตว์ที่ได้รับการช่วยเหลือมาจากการบาดเจ็บ ถูกทำร้าย หรือจากอุบัติเหตุต่างๆและบางส่วน ก็มาจากเจ้าของสัตว์เดิมที่ไม่ต้องการเลี้ยงต่อแล้ว สาเหตุเนื่องจากดุร้ายและทำร้ายคนในบ้าน บางตัวก็พิการ และไม่สามารถกลับคืนสู่ป่าได้
นอกจากนี้ทางมูลนิธิฯยังได้ให้การช่วยเหลือชาวบ้านที่นำเลี้ยงและสัตว์ป่าที่ได้รับบาดเจ็บมาให้มูลนิธิดูแลอนุบาล พักฟื้นก่อนการส่งมอบ สัตว์ป่ากลับสู่ธรรมชาติ และยังได้ร่วมงานกับมหาวิทยาลัยมหิดลและกรมอุทยานแห่งชาติมาแล้วในโครงการอนุรักษ์และวิจัยชะนีกลับคืนสู่ธรรมชาติ ภายใต้ชื่อโครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูชะนีใกล้สูญพันธุ์ปี พ.ศ.2551 ชะนีมือขาวสายพันธุ์ย่อยคาร์เพนเตอร์ คืนสู่ป่าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าลุ่มน้ำปาย จ.แม่ฮ่องสอน ที่แนบมา6 ซึ่งมูลนิธิฯได้สนับสนุนในการทำกรงขนาดใหญ่ในป่า ให้ชะนีรู้จักใช้ชีวิตในป่าก่อนการปล่อยให้ไปใช้ชีวิตตามธรรมชาติ และมีนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยมหิดลคอยสังเกตพฤติกรรมชะนีตลอดก่อนปล่อยคืนสู่ป่าจริง ซึ่งจะเห็นได้ว่าทางมูลนิธิได้รับการยอมรับในการทำงานของกรมอุทยานสัตว์ป่าและพันธุ์พืชมาก่อนแล้ว ฉะนั้น มูลนิธิเพื่อนสัตว์ป่ามีเจตนาในการคืนสัตว์ป่วยที่รักษาให้หายแล้วคืนสู่ธรรมชาติจริง แต่ต้องมีกระบวนการปรับสภาพให้สัตว์รู้จักใช้ชีวิตในธรรมชาติก่อนและได้รับความยินยอมจากหน่วยงานภาครัฐด้วย เมื่อมั่นใจว่า สัตว์ป่าสามารถดูแลตนเองได้ มีความปลอดภัยจริงจึงจะทำการปล่อยสัตว์เหล่านั้นให้กลับสู่ธรรมชาติต่อไป หาใช่ กรมอุทยานแห่งชาติจะมีอำนาจกระทำการโดยพละการในการนำสัตว์ไปจากมูลนิธิเพื่อนสัตว์ป่า และมูลนิธิเพื่อนสัตว์ป่าเมื่อได้รับสัตว์มาต้องดูแลอย่างดี ไม่อาจปล่อยสัตว์เข้าป่าโดยพละการ ทุกกระบวนการต้องทำงานร่วมกัน เพื่อประโยชน์ของสัตว์ป่าเป็นสำคัญ

ทางมูลนิธิฯจึงได้เล็งเห็นปัญหาของสัตว์ป่าเหล่านั้นและอยากช่วยแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน จึงได้ตั้งขึ้นเป็นมูลนิธิเพื่อช่วยเหลือสัตว์ป่าขึ้นมา พร้อมช่วยปลุกจิตใต้สำนึกให้กับเยาวชนให้รู้จักการอนุรักษ์สัตว์ป่า เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระของหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องให้มีการทำงานที่สะดวกและรวดเร็วขึ้น และช่วยเหลือสัตว์ได้ทันถ่วงทีดีต่อคุณภาพชีวิตของสัตว์ป่าไทยด้วย ซึ่งขั้นตอนการช่วยเหลือสัตว์ของมูลนิธิฯทุกครั้ง ก็จะมีการเก็บข้อมูลของสัตว์ทุกอย่าง ทำหนังสือรายงานแจ้งกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืชทราบทุกตัวทุกครั้งมาโดยตลอด โดยการทำใบบันทึกการมอบสัตว์เพื่อนำมารักษาที่มูลนิธิฯ ทั้งสัตว์ป่าที่ป่วยทางร่างกายและจิตใจทุกตัวมีประวัติ การนำเข้าสู่มูลนิธิถูกต้อง และการอนุบาลรักษาทั้งมีเอกสารการแจ้ง ต่อหน่วยงานที่รับผิดชอบทุกครั้งมาโดยตลอดระยะเวลาการทำงานของมูลนิธิเพื่อนสัตว์ป่า โดยสัตว์ป่าทั้ง 15 ชนิด 103 ตัว ที่ถูกดำเนินคดีล้วนมีหลักฐานการแจ้งเข้ามาที่ครบถ้วน ตามขั้นตอนนำสัตว์เข้าสู่มูลนิธิ นอกจากนี้ยังได้มีการแจ้งหลักฐานเป็นใบลงบันทึกประจำวันที่สถานีตำรวจตามท้องที่ที่ไปช่วยสัตว์ตัวนั้นๆไว้เพิ่มเติมอีกด้วย เพื่อแสดงเจตนาของมูลนิธิฯว่ามิได้มีเจตนาในการครอบครองสัตว์เหล่านี้เพื่อจุดประสงค์อื่นใด นอกเหนือจากสวัสดิภาพของตัวสัตว์เองมาโดยตลอด และรอให้ทางเจ้าหน้าที่ทางกรมอุทยานตอบรับกลับมาเพื่อรับสัตว์ป่าไปฟักฟื้นต่อ แต่ที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 2549 มีการแจ้งเกิดของสัตว์ป่าที่เกิดขึ้นโดยการสืบพันธุ์ก็ไม่เห็นมีหน่วยงานของกรมอุทยานเข้ามาตรวจสอบเลยสักครั้งและไม่มีการตอบรับจากทางสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 สาขาเพชรบุรี มาแต่อย่างใด จนกระทั่งถึง วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2555 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ 6 ปีที่เข้ามาตรวจสอบ และยึดสัตว์จากมูลนิธิฯไป

ทั้งนี้ การทำหน้าที่ดูแลสัตว์ป่าของมูลนิธิฯ จึงไม่ใช่กรณีครอบครองเพื่อตนเอง อนุบาลดูแลไว้เพื่อรอการปล่อยให้กลับคืนสู่ธรรมชาติต่อไปเพียงเท่านั้น แต่ก่อนหน้านี้ก็ไม่รูว่ามันเกิดอะไรขึ้น หลังจากที่มูลนิธิฯได้แถลงข่าวเกี่ยวกับขบวนการล่าช้างที่แก่งกระจานออกไปไม่นาน ทางเจ้าหน้าที่กรมอุทยานสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 จังหวัดเพชรบุรี ก็ได้เข้ามาพร้อมหมายค้นของศาลจังหวัดเพชรบุรีที่ 66/2555 พร้อมเจ้าหน้าที่ป่าไม้ และตำรวจตระเวนชายเดนนับร้อยนาย พร้อมอาวุธปืน และนักข่าวมากมาย เข้ามาขอตรวจสอบหลักฐานการครอบครองช้าง และสัตว์ป่าคุ้มครองตาม พ.ร.บ. 2535 ของสัตว์ที่อยู่ในความดูแลของมูลนิธิฯทุกตัว หลังจากที่ทางมูลนิธิฯพาเจ้าหน้าที่เดินตรวจสอบจำนวนสัตว์ที่อยู่ในความดูแลของมูลนิธิฯทั่วพื้นที่เกือบ 140 ไร่แล้ว ซึ่ง ณ เวลานั้นเป็นเวลาประมาณบ่ายสามโมงเย็น เจ้าหน้าที่จึงขอดูเอกสารหลักฐานการครอบครองสัตว์ทั้งหมด จากนั้นข้าพเจ้า ก็ได้นำหลักฐานสัตว์มาแสดงต่อเจ้าพนักงานกรมอุทยานได้บางส่วน เนื่องจากหลักฐานของสัตว์บางปีไม่เจอ อาจจะอยู่ที่อ็อฟฟิตเก่า เพราะเพิ่งย้ายอ็อฟฟิตมาใหม่ ประกอบกับข้าพเจ้ามิได้ เป็นคนเก็บหลักฐานจึงไม่ทราบได้ว่ามันอยู่ที่ใดแน่ชัด แต่ก็ได้พยายามหาเอกสารออกมาเรื่อยๆให้ทางเจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบ จนถึงเวลาประมาณ หกโมงเย็น เจ้าหน้าที่จึงแจ้งของดรับเอกสารเพิ่มเติม ผลปรากฏว่า มีสัตว์ที่ไม่มีเอกสารที่มาที่ไปอยู่ 103 ตัวเลยถูกแจ้งข้อหามีสัตว์ป่าคุ้มครองไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตตาม พ.ร.บ. 2535

ในวันเดียวกัน นายเอ็ดวิน วิค ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งมูลนิธิฯได้รับเชิญจากรายการข่าวทางทีวีช่อง สปริง นิวส์ ให้ไปพูดคุยถึงปัญหาขบวนการล่าช้างป่าในประเทศด้วย แต่ต้องถูกยกเลิกเพราะ เหตุการณ์นี้ก่อน
มาถึงข้อกล่าวหาของข้าพเจ้า ว่ามีสัตว์ป่าคุ้มครองไว้ในครอบครองโดยมิได้รับอนุญาตนั้น ทางข้าพเจ้าก็ได้ให้การปฏิเสธไป เพราะไม่ได้มีเจตนาครอบครองสัตว์เหล่านั้นจริงๆ และชี้แจงว่าสัตว์มีที่มาที่ไปทุกตัวและเป็นสัตว์ที่ได้ช่วยเหลือมาจากการบาดเจ็บกันทั้งนั้น แต่ขอเวลารื้อค้นหาเอกสารหน่อย เพราะสัตว์ตั้ง 300 ตัว จะให้ชี้แจงภายใน 3 ชั่วโมงคงไม่ทัน ข้าพเจ้าจึงขอเจรจาชี้แจงในวันถัดไป แต่ดูเหมือนทางเจ้าหน้าที่จะไม่ยอมฟัง จะเอาผิดทางเราให้ได้ ข้าพเจ้าก็พยายามเจรจาอีก แต่ก็ไม่เป็นผล และคุมตัวข้าพเจ้าไปดำเนินคดีที่สถานีตำรวจในพื้นที่ทันที ข้าพเจ้าจึงต้องไปที่สถานีตำรวจและถูกดำเนินคดีตามข้อกล่าวหา ทั้งๆที่เราเจตนาแค่ช่วยสัตว์เหล่านั้นให้อยู่รอดปลอดภัย สัตว์ถูกยึดไว้ในคืนนั้น 103 ตัว และจะต้องทำการขนย้ายสัตว์เลยในทันที แต่เนื่องจากขณะนั้นเป็นเวลา 21.00น. แล้ว ไม่สะดวกในการขนย้ายสัตว์ ข้าพเจ้าจึงเจรจาขอร้องว่าแค่อายัดและฝากให้ทางมูลนิธิฯดูแลต่อ จนกว่าคดีจะสิ้นสุด เจ้าหน้าที่ตอบตกบันทึกรับฝากของกลางไว้ให้ทางมูลนิธิฯดูแลก่อนชั่วคราว จากนั้นก็ได้ทำเรื่องเอกสารการจับกุมและเดินเรื่องประกันตัวข้าพเจ้าออกมา กว่าจะเสร็จเรื่อง ก็เป็นเวลาตีสามครึ่งแล้ว

เช้าวันต่อ 14 -2-55 มาเจ้าหน้าที่ชุดเดิมเข้ามาในพื้นที่โดยไม่มีหมายค้น มาเก็บรูปภาพของสัตว์ที่ตกเป็นของกลาง 103 ตัว และบอกให้ข้าพเจ้านำชี้ตัวสัตว์ ข้าพเจ้าบอกตรงๆ ข้าพเจ้าไม่ทราบจริงๆว่าเป็นตัวไหน เพราะต้องเช็คดูในเอกสารให้ชัดเจนก่อนถึงจะนำชี้ได้ เจ้าหน้าที่จึงต้องจำใจถ่ายรูปเก็บไว้ทุกตัวจนกระทั่งถึงเย็น 16.00น ก็แยกย้ายกันกลับไป

เช้าของอีกวัน 15-2-55 ข้าพเจ้ากะว่าจะค้นหาเอกสารสัตว์103ตัวเพิ่มเติมเพื่อยื่นชี้แจงที่ตำรวจ เวลาประมาณสิบโมงเช้าก็ได้มีเจ้าหน้าที่ชุดเดิมเข้ามาในพื้นที่โดยไม่มีหมายค้นอีกเช่นกัน มีรถบรรทุกหลายคัน มีลูกกรงอยู่บนรถด้วย พร้อมด้วยนักข่าว เต็มไปหมด ข้าพเจ้าตกใจมากไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอเห็นกรงบนรถจึงแน่ใจได้ว่า เจ้าหน้าที่ต้องเข้ามายึดสัตว์แน่นอน โดยบอกว่าทางอธิบดีสั่งมาให้ยึดด่วน พร้อมทั้งยัดเยียดให้ข้าพเจ้านำชี้สัตว์ตัวที่ไม่มีใบครอบครอง ข้าพเจ้าบอกไม่รู้ว่าเป็นตัวไหนแน่ ต้องไปนั่งตรวจเอกสารก่อน แต่ทางเจ้าหน้าที่ก็ยังยืนยันจะให้ข้าพเจ้าชี้ให้ได้ ถ้าไม่ชี้ก็จะทำการยึดทั้งหมด ข้าพเจ้าไม่รู้จะทำอย่างไร เวลาหาเอกสารก็ไม่มี เลยต้องนำชี้สัตว์อย่างไร้ความเป็นจริง และปล่อยให้เจ้าหน้าที่ทำการยึดสัตว์ไป แต่การปฏิบัติงานในการจับสัตว์ของเจ้าหน้าที่ในวันนั้น เป็นไปอย่างทุลักทุเล ไม่มีสัตวแพทย์คอยควบคุม วิ่งไล่ต้อนจับกันอย่างโหดร้าย และยังมีการเอาคนในพื้นที่ที่ไม่มีประสบการณ์และติดยาบ้ามาช่วยจับสัตว์อีกด้วย วันนั้นยึดได้ แปดตัว คือ อีเห็น 2 ตัว,ลิงแสม 2 ตัว,ลิงกัง2ตัว,หมีขอ1,อีเห็นเครือ1 ซึ่งอีเห็น ไม่ได้เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองแล้วก็ยังถูกยึดไป ถึงแม้ทางข้าพเจ้าจะชี้แจงต่อเจ้าหน้าที่ไปแล้ว ขณะเดียวกันเหล่าอาสาสมัครชาวต่างชาติ ก็แสดงความเสียใจและตั้งคำถามมากมายให้กับทางเจ้าหน้าที่ว่าไม ซึ่งในเมื่อทำการฝากไว้แล้ว และทำไมจึงต้องย้ายสัตว์ไป และย้ายไปไว้ไหน ดีเท่าที่นี่มั้ย ตามไปดูได้มั้ย ต่างก็ร้องไห้เพราะสงสารสัตว์ที่ถูกเจ้าหน้าที่จับไปอย่างทารุณ หลังจากที่เจ้าหน้าที่ออกจากพื้นที่มูลนิธิฯไป ข้าพเจ้าจึงตั้งใจไปค้นหาเอกสารเพิ่มเติมทั้งคืนเพื่อที่จะใช้ยื่นหลักฐานเพิ่มเติมต่อเจ้าหน้าที่ในเช้าวันถัดมา

16-2-2555 เป็นจริงอย่างที่คิด เจ้าหน้าที่ชุดเดิม100กว่าคน พร้อมอาวุธปืน เข้ามาในพื้นที่โดยไม่มีหมายค้นอีกเหมือนกัน กลับมายึดสัตว์ต่ออีก ข้าพเจ้าจึงรีบทำการยื่นเอกสารเพิ่มเติม แต่กลับถูกให้การปฏิเสธ บอกให้ไปยื่นในภายหลัง และยัดเยียดให้ชี้สัตว์ตัวที่คิดว่าไม่มีเอกสารให้อีก และยึดไปได้อีก ห้า ตัว คือ ลิงกัง 4 ,แสม 1 และในวันเดียวกันทนายของมูลนิธิฯก็ได้ดำเนินการยื่นคำร้องต่อศาล ให้มีการระงับการยึดสัตว์ไว้ก่อน เพราะเป็นห่วงในสวัสดิภาพของสัตว์ และเจรจากับทางเจ้าหน้าที่อุทยานว่าให้ทำการฝากสัตว์ส่วนที่เหลือไว้กับมูลนิธิฯก่อน และหยุดการยึดสัตว์ไว้ชั่วคราวก่อน เพราะมีสัตว์บางตัวได้รับอันตรายเกือบเสียชีวิตจากการจับของเจ้าหน้าที่ ก็ได้มีการยกเลิกการจับสัตว์ไป พร้อมกันนั้นทางเจ้าหน้าที่กรมอุยานก็ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่เข้ามานอนพักแรมในพื้นที่มูลนิธิฯประมาณ 20 นาย และกระจายไปตามจุดต่างๆของพื้นที่ สร้างความอึดอัดให้กับคนในมูลนิธิฯมาก ทำกับเราเหมือนเป็นโจรผู้ร้ายฆ่าคน ที่ต้องนอนเฝ้ากันเลยทีเดียว

17-2-55 เจ้าหน้าที่ชุดเดิม100กว่าคน พร้อมอาวุธปืน ก็กลับเข้ามายึดสัตว์ต่ออีก ข้าพเจ้าเดินตามขอยื่นเอกสารเพิ่มเติม ให้หยุดและตรวจเอกสารเพิ่มอีกที แต่กลับถูกให้การปฏิเสธตลอด เป็นอย่างนี้จนถึงวันที่ 22-2-255 อธิบดีดำรงได้เดินทางมายังมูลนิธิฯเพื่อดูสถานการณ์ นายเอ็ดวิน และข้าพเจ้าและทนายของมูลนิธิฯได้พูดคุยกับท่านพอประมาณ พอท่านเข้ามา ก็พูดจา ให้ร้ายป้ายสีต่างๆนาๆ กล่าวหาว่าเราเป็นมูลนิธิเถื่อน เซ้งลี้กันมา ,บุกรุกป่าสงวน,เป็นแหล่งสะสมซื้อขายสัตว์ป่า, ติดสินบนพระเพื่อทำกิจการ กล่าวร้าย ต่างๆนาๆ ซึ่งเป็นการให้สัมภาษณ์ที่ไม่เหมาะสม เพราะท่านมีตำแหน่งเป็นถึงอธิบดี การให้ข่าวที่ที่บิดเบือนทำให้ชื่อเสียงมูลนิธิเสียหายอย่างมาก หลังจากนั้นท่านรับปากจะให้มีการตรวจเอกสารแต่ก็ไม่มีลูกน้องของท่านคนไหนเลยที่จะมาตรวจสอบให้กับข้าพเจ้า แถมยังพูดจาหยาบคาย มีการถุยน้ำลายให้กับอาสาสมัครชาวต่างชาติด้วย ถือเป็นการกระทำที่แย่มาก และยังดำเนินการจับสัตว์ต่อไปอีกจนถึงเย็นของวันที่ 24-2-2555 ภารกิจจับสัตว์จากมูลนิธิเพื่อนสัตว์ป่าสิ้นสุดลง

และในวันที่ 27-02-2555 เจ้าหน้าที่จากกรมอุทยาน ก็ได้นำสัตว์ตระกูลอีเห็นมาคืนให้กับทางมูลนิธิฯ เป็นจำนวน 3 ตัว ตามที่ได้กล่าวแล้วข้างต้นแล้วว่า อีเห็นไม่ได้อยู่ในบัญชีสัตว์ป่าคุ้มครองแล้ว จึงนำมาคืนให้พร้อมกับแผลที่เพิ่มขึ้นบนตัวสัตว์จากการจับและขนย้ายของเจ้าหน้าที่อุทยานที่เกิดขึ้นโดยไม่จำเป็น ซึ่งถ้าหากมีการตรวจสอบกันก่อนตั้งแต่ต้น สัตว์ก็ไม่ต้องได้รับบาดเจ็บเช่นนี้ สรุปสัตว์ที่เป็นของกลางในคดีเหลืออยู่ 99 ตัว เท่านั้น
แต่ด้วยการเลือกปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ในการเข้าตรวจค้น ในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2555 นั้น ทางเจ้าหน้าที่ได้ให้เวลาทางมูลนิธิฯ 2-3 ชั่วโมงเท่านั้น ในการนำหลักฐานจำนวนมากกว่า 200 รายการของสัตว์ป่าที่มีอยู่มาแสดงต่อเจ้าหน้าที่ให้เสร็จสิ้น ในขณะที่ นางสาวจันทร์แสง ต้องสาละวนกับการให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ ในเรื่องของสัตว์ป่าและที่มาแต่ละตัวก็มีเวลาไม่เพียงพอแล้วยังให้ค้นหาหลักฐานมาแสดงอีก เมื่อเวลามีไม่เพียงพอ เจ้าหน้าที่กลับนำเรื่องเข้าแจ้งดำเนินคดีกับนางสาวจันทร์แสง สร้างนานอก ว่ามีสัตว์ป่าไว้ในครอบครองโดยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ ทั้งที่ทางมูลนิธิฯได้ร้องขอเวลาอีกหนึ่งวันเพื่อหาหลักฐานทั้งหมดมาแสดง แต่ไม่เป็นผล อีกทั้งใส่ร้ายทางสื่อโทรทัศน์ และทางสื่ออีเล็คทรอนิคส์ อย่างต่อเนื่อง จงใจ ใส่ความให้ร้ายให้ต้องรับโทษทางอาญา ให้ต้องได้รับความเสียหายทางเกียรติยศ ชื่อเสียง จากการละเว้น และเลือกปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ อย่างไม่เป็นธรรม อีกทั้งได้นำสัตว์ ที่ทางมูลนิธิฯรับมาดูแลรักษา และยังอยู่ในขั้นตอนการพักฟื้นไปในทันทีจำนวน 15 รายการ จำนวน103 ตัวอีกด้วย ซึ่งในทางปฏิบัติเจ้าหน้าที่สามารถทำการอายัดและฝากของกลางไว้ให้ที่เดิมดูแลได้ เพื่อความปลอดภัยและสวัสดิภาพของสัตว์จนกว่าคดีจะสิ้นสุดได้
ซึ่งรายการสัตว์ป่าคุ้มครองจำนวน 15 รายการ จำนวน103 ตัว ที่ถูกยึดไปมีดังนี้

1 ชะนีธรรมดา 33 ตัว
2 ชะนีมงกุฎ 1 ตัว
3 ลิงแสม 17 ตัว
4 ลิงกัง 21 ตัว
5 ลิงเสน 7 ตัว
6 แมวดาว 8 ตัว
7 หมีขอ 1 ตัว
8 นากใหญ่ขนเรียบ 1 ตัว
9 ชะมดเช็ด 1 ตัว
10 หมีควาย 5 ตัว
11 อีเห็นธรรมดา 2 ตัว
12 อีเห็นเครือ 1 ตัว
13 นกกก/นกกาฮัง 1 ตัว
14 นกแก็ก 2 ตัว
15 เหยี่ยวแดง 2 ตัว
รวม 103 ตัว

มูลนิธิเพื่อนสัตว์ป่าขอยืนยันว่า มูลนิธิได้ดำเนินงานมาเป็นอย่างดี มีหน่วยงานของโลกมาตรวจสถานที่และให้คำแนะนำในการปฏิบัติที่มาตรฐานโลก และมิได้ผิดกฎหมายมาตรฐานไทยด้วย อีกทั้งทางมูลนิธิมิได้มีเจตนาในการแสวงหาผลกำไร มิได้มีเจตนา ซื้อหรือขายสัตว์แต่อย่างใด ตามที่เจ้าหน้าที่ของ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช นายวันชัย สิงห์โต และท่านอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้ออกสื่อโทรทัศน์ และสื่ออีเล็คทรอนิคส์ ยังความเสียหายต่อมูลนิธิเพื่อนสัตว์ป่า การเลือกปฏิบัติไม่ให้เวลาในการค้นเตรียมเอกสารของเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการ จงใจแจ้งข้อกล่าวหาในคดีอาญาต่อมูลนิธิฯอย่างไม่เป็นธรรม
จงใจทำร้ายสัตว์ ทำร้ายจิตใจคนในมูลนิธิฯ ทำลายชื่อเสียงตลอดจนมีเจตนานำสัตว์ไปอันมีลักษณะของการลักทรัพย์ด้วย
จงใจใส่ร้าย ทำลายศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เลือกปฏิบัติ กล่าวหามูลนิธิฯเป็นผู้กระทำผิดกฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่า อันเป็นความเท็จ กลั่นแกล้งให้มูลนิธิฯต้องได้รับโทษทางอาญา และใส่ความว่ามูลนิธิฯทรมานสัตว์ ซื้อขายสัตว์ อันเป็นการสร้างความเสียหายต่อมูลนิธิฯซึ่งปราศจากความเป็นจริง

ปัจจุบันมูลนิธิเพื่อนสัตว์ป่าหาหลักฐานของสัตว์ทั้ง99ตัวได้แล้ว พร้อมที่จะชี้แจง และขอยืนยันอีกครั้งว่าสัตว์ที่มูลนิธิรับรักษาไว้นั้น ล้วนแต่เป็นสัตว์ที่มีอาการป่วย,ได้รับบาดเจ็บต่างๆนาๆ นำมา ดูแลรักษาและฟื้นฟูก่อนการนำสัตว์ป่ากลับสู่ธรรมชาติทั้งนั้น ซึ่งต้องมีกระบวนการขั้นตอนการทำงานอย่างเป็นลำดับถึงการนำสัตว์ไปปรับสภาพให้มีความเป็นอยู่ใกล้เคียงกับธรรมชาติ และสามารถดำรงชีวิตในป่าได้ในที่สุด อีกทั้งมีการแจ้งให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ทราบทุกตัวแล้ว จึงไม่ถือว่าเป็นความผิด
ด้วยเหตุดังกล่าว ทางมูลนิธิเพื่อนสัตว์ป่า จึงขอยื่นคำร้องขอความเป็นธรรมต่อคณะกรรมาธิการการกฎหมาย ยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน เพื่อขอให้มีการดำเนินการตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและกระทำเกินกว่าเหตุของเจ้าพนักงานกรมอุทยาน ในการจับกุมมูลนิธิเพื่อนสัตว์ป่า และขอให้มีคำสั่งถอดถอนการดำเนินคดีกับมูลนิธิเพื่อนสัตว์ป่าในครั้งนี้ด้วย พร้อมขอให้ตรวจมีการตรวจสอบความเป็นอยู่ของสัตว์ป่าของกลางที่ถูกยึดไว้ตามที่ต่างๆของศูนย์เพาะเลี้ยงของกรมอุทยานด้วย เพื่อประโยชน์และสวัสดิภาพสัตว์ที่ดีของสัตว์ป่าไทย
พร้อมกันนี้มูลนิธิเพื่อนสัตว์ป่าได้แนบรายชื่อผู้สนับสนุนให้กำลังใจมูลนิธิฯแนบมาด้วยอีก 60,000 รายชื่อ ที่แนบมา7 ซึ่งเปรียบเสมือนกำลังใจอันสำคัญให้กับมูลนิธิฯในการดำเนินงานต่อไป
จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณา
ขอแสดงความนับถือ

(นางสาวจันทร์แสง สร้างนานอก)
ประธานมูลนิธิเพื่อนสัตว์ป่า

ร่วมมือกับเรา

มูลนิธิเพื่อนสัตว์ป่าต้องการความช่วยเหลือจากคุณ เผยแพร่เรื่องราวและภารกิจปกป้องสัตว์ป่าของเราออกสู่ภายนอก
หากคุณอยากช่วยเหลือสามารถเยี่ยมชมและมามีส่วนร่วมกันกับเราได้

Wildlife Friends Foundation Thailand

Back To Top