วันคืนอันแสนยาวนานของชีวิตที่ถูกบังคับใช้แรงงานเก็บมะพร้าว จบลงที่นี่ มารู้จักกับ มิสเตอร์บิ๊กฟุต
ข่าวคราวล่าสุดของสัตว์ป่า 103 ชีวิตที่ถูกยึดจากมูลนิธิ
ข่าวคราวล่าสุดของสัตว์ป่า 103 ชีวิตที่ถูกยึดจากมูลนิธิเพื่อนสัตว์ป่า (WFFT)
ข่าวคราวล่าสุดของสัตว์ป่า 103 ชีวิตที่ถูกยึดจากมูลนิธิเพื่อนสัตว์ป่า (WFFT) ยังคงไม่ได้บ่งบอกว่าสัตว์เหล่านั้นไปอยู่ที่ไหนและมีสวัสดิภาพเป็นอย่างไร อีเห็นสี่ตัวถูกส่งกลับคืนจากกรมอุทยานเนื่องจากพวกมันไม่ใช่สัตว์ป่าคุ้มครองตาม ก.ม. ของไทย แต่ยังมีสัตว์ต่าง ๆ อีกกว่า 99 สายพันธุ์ที่ยังถูกครอบครองโดยกรมอุทยานในขณะนี้ พวกเราได้รับการแจ้งข่าวเมื่อประมาณสองเดือนก่อนว่ามีสัตว์ป่าส่วนหนึ่งที่ตายที่ศูนย์พักพิงของกรมอุทยานและบางส่วนได้รับการดูแลแบบต่ำกว่ามาตรฐาน ดังนั้นเราจึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมกรมอุทยานจึงไม่ยอมอนุญาตให้พวกเราและสื่อมวลชนเข้าเยี่ยมชมสัตว์ในช่วงสามเดือนที่ผ่านมาที่สัตว์ถูกยึดไป พวกเราเป็นห่วงสัตว์เหล่านั้นเป็นอย่างมากจริง ๆ
ช่วงที่สัตว์ถูกยึดนั้น เรามีการแสดงเอกสารการครอบครองสัตว์ที่เราดูแล แต่ทางกรมอุทยานก็ไม่ได้สนใจเอกสารเหล่านั้นแม้แต่น้อย และแม้แต่อธิบดีกรมอุทยานตอนที่มายังมูลนิธิเพื่อนสัตว์ป่า ก็ไม่ได้สนใจจะตรวจสอบเอกสารเช่นกัน ที่น่าโมโหกว่านั้นคือลูกสัตว์ถูกพรากจากพ่อแม่หรือฝูงที่อาศัยอยู่ด้วยกันมานานกว่าหกปี ลูกสัตว์เหล่านั้นเกิดที่ WFFT และถูกครอบครองอย่างถูกกฎหมายเนื่องจากพวกมันเป็นลูกหลานของสัตว์ป่าที่ได้รับการขึ้นทะเบียนแล้วในปี 2549 ตามพระราชบัญญัติ สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า (ฉบับที่ 2) (National wildlife amnesty) ในวันนั้นสัตว์ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2549 ถูกยึดไปจำนวน 16 ตัว เราจึงได้เรียกร้องขอสัตว์เหล่านั้นคืนทันที แต่ ณ ปัจจุบัน ผ่านมา 90 วันแล้วเรายังไม่ได้เห็นสัตว์เหล่านั้น ไม่รู้ว่าสัตว์ไปอยู่ที่ไหนและไม่ได้รับการตอบกลับจากกรมอุทยานเลย!…เป็นไปได้ไหมที่เมื่อมีสัตว์อย่างน้อย 2 ตัว (จากชะนี 9 ตัวและลิงกัง 7 ตัว) ตายในความดูแลของกรมอุทยาน ทำให้ทางกรมปฏิเสธไม่ยอมคืนสัตว์ป่ากลับมา?
เราได้เรียกร้องขอสัตว์ป่าอื่น ๆ ที่เหลือคืนเช่นกัน โดยมีการส่งเอกสารทั้งหมดไปแสดงกับกรมอุทยาน แต่ทางกรมได้ตีกลับเอกสารทั้งหมดกลับมาแล้วบอกให้พวกเราไปจัดการเดินเรื่องต่อกับตำรวจเอาเอง น่าแปลกที่ตำรวจถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองของกรมอุทยานได้ด้วย! ที่จริงแล้วทาง WFFT ไม่มีปัญหาในการส่งมอบสัตว์ป่าให้กรมอุทยานเนื่องจากมีการส่งมอบหลายต่อหลายครั้งมาแล้วในอดีต อย่างไรก็ตาม “การยึดสัตว์โดยการจับกุมตามกฎหมาย” นั้นมิใช่การรับมอบสัตว์หรือรับบริจาคสัตว์จาก WFFT อย่างที่เคยเป็นมา ในอดีต สัตว์หลายตัวโดยเฉพาะชะนีได้ถูกส่งจาก WFFT ไปยัง จ. แม่ฮ่องสอนเพื่อการปล่อยกลับคืนสู่ป่าโดยความร่วมมือของกรมอุทยานและมหาวิทยาลัยมหิดล
สัตว์ป่าที่เหลือใน WFFT ยังคงมีสภาพความเป็นอยู่ที่ดี และเราก็ยังคงไม่เข้าใจว่าทำไมกรมอุทยานจึงต้องบังคับเอาสัตว์จำนวนมากไปจากศูนย์ ในเมื่อทางกรมได้รับเอกสารแจ้งเรื่องสัตว์ทุกตัวตลอด 7 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ปลายปี 2548 จนถึงมกราคม 2555 และทั้งที่เพียงแค่ไม่กี่สัปดาห์ก่อนการยึดสัตว์ ทางกรมอุทยานพึ่งจะออกมาแถลงว่าไม่มีศูนย์ช่วยเหลือที่เหมาะสมและเพียงพอ ที่จะรองรับสัตว์ป่าที่เพิ่มจำนวนขึ้นทุกวัน หัวหน้าของศูนย์เพาะพันธุ์สัตว์ป่าเขาสนและเขาประทับช้าง ได้กล่าวผ่านโทรทัศน์ว่าเขาไม่มีเงินพอจะซ่้อมแซมกรง รวมทั้งไม่พอซื้ออาหารมาเลี้ยงสัตว์ืทั้งหมดด้วย จึงต้องหันมาพึ่งการเพาะพันธุ์นกในศูนย์ขายเพื่อหารายได้มาซื้ออาหาร
เป็นเวลา 6 ปีที่กรมอุทยานไม่เคยตอบรับเอกสารแจ้งเรื่องสัตว์ป่าที่ถูกช่วยเหลือเข้ามาในศูนย์เลย ที่ผ่านมาพวกเจ้าหน้าที่มักเข้ามาตรวจดูพวกสัตว์ปีหรือสองปีครั้ง และบอกเสมอว่าพวกมันดูแข็งแรงดี แต่เมื่อเราขอให้ยืนยันเป็นลายลักษณ์อักษร เจ้าหน้าที่ก็เอาแต่บอกเหมือนเดิมให้เราสบายใจได้ เพราะนี่คือการทำงานร่วมกัน และ “ทุกคน” รู้ดีว่าเรากำลังช่วยงานของกรมอุทยาน โดยการช่วยเหลือและรักษาสัตว์ป่า
เมื่อไม่กี่วันก่อน เราได้รับจดหมายจากหัวหน้าสำนักงานบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 เพื่อขอให้เราส่งมอบสัตว์ป่าอีก 56 ตัวให้ คราวนี้ไม่ใช่การยึดในฐานะสัตว์ที่มีที่มาไม่ถูกต้อง แต่เป็นการตอบจดหมายแจ้งลงทะเบียนสัตว์ 3 ฉบับที่เราเคยส่งไปเมื่อหนึ่งปีก่อน ในจดหมายฉบับนี้ คุณอุัทัย พรหมนารี หัวหน้าสำนักงานบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 (สาขาเพชรบุรี) ผู้ซึ่งกำลังจะต้องขึ้นศาลในอีก 4 สัปดาห์ข้างหน้า ในข้อหาใช้อำนาจหน้าที่ในทางมิชอบ และข้อหาทางอาญาอื่นอีก 3 ข้อหา ได้กล่าวว่าเราจะต้องเตรียมสัตว์ทั้ง 56 ตัวให้เรียบร้อยภายใน 15 วัน เพื่อส่งต่อให้กับทางสำนักงานของเขา เราคาดว่า เขาคงจะส่งจดหมายทำนองนี้มาอีก เพื่อขอพวกสัตว์ที่เราแจ้งลงทะเบียนไปตั้งแต่ปี 2548-2555
คุณอุทัย ก็เป็นเช่นเดียวกับคุณดำรง พิเดช ผู้เป็นเจ้านาย คือเคยพูดเอาไว้ในหลายโอกาสว่า ที่อยู่อาศัย เครื่องมือการรักษา รวมไปถึงศูนย์ช่วยเหลือทั้งศูนย์ของ WFFT จัดอยู่ในระดับต่ำกว่ามาตรฐาน สัตว์ภายใต้การดูแลของเราอยู่ในสภาพย่ำแย่ และตามที่ทั้งสองอ้าง สัตว์ป่าในการดูแลของกรมอุทยานมีความเป็นอยู่ีที่ดีกว่ามาก ด้วยเหตุนี้ เราจึงควรส่งมอบสัตว์ของเราให้กับทางกรม แต่ในเวลาเดียวกัน พวกเจ้าหน้าที่ก็ยังคงปฎิเสธที่จะยึดสัตว์ป่ากว่า 300 ตัว เช่น ลิงอุรังอุตัง สิงโต เสือ ลิงมาร์โมเส็ต และสัตว์ป่าคุ้มครองอีกหลายสายพันธุ์ จากแก๊งลักลอบค้าสัตว์ชื่อดังที่จ.สระบุรี และหัวหน้าศูนย์เพาะพันธุ์สัตว์ป่าของรัฐทั้งสองแห่งในจ.ราชบุรี ได้กล่าวว่าทางศูนย์ยังคงไม่สามารถหาทางออกในการจัดหาอาหารให้สัตว์ทั้งหมดได้ (ดูเพิ่มเติมในคลิปวีดีโอ)
ต้องขออภัยที่จะสรุปว่า เกมส์การเมืองของ เจ้าหน้าที่กรมอุทยานบางคนยังไม่จบไม่สิ้นเสียที ชีวิตของสัตว์ที่ได้รับความช่วยเหลือมานั้นต้องเจ็บปวด ทนทุกข์มากพออยู่แล้ว แถมยังต้องมาตกอยู่ในมือของคนที่นําชีวิตสัตว์เหล่านั้นมาใช้เป็นเครื่องมือกดดันต่อร่องอีก แม้ว่ากองนิติการ-กรมอุทยานแห่งชาติ จะระบุว่า การดูแลรักษาชั่วคราวของ WFFT นั้นถูกกฏหมาย แต่ก็ยังไม่วาย มีเจ้าหน้าที่บางคน บางหน่วยต้องการย้ายสัตว์ไปยังสถานที่ ที่ไม่มีความพร้อมในการให้การดูแลรักษาสัตว์เหล่านั้น ซึ่งส่งผลให้สัตว์ต้องทนทุกข์ทรมานมากขึ้นโดยไม่จําเป็นเลย
นอกจากนี้ ทีมงานยังต้องการให้ ประชาชนได้รับรู้ได้เห็นความจริงของสถาณการณ์ที่เกิดขึ้น
-WFFT เป็นสถานที่ที่แย่ ไม่เหมาะสมจะเป็นที่อยู่อาศัย รักษาดูแลสัตว์จริงหรือ?
-ศูนย์รักษาพยาบาลในพื้นที่ ของ WFFT สามารถเทียบได้กับ ศูนย์รักษาพยาบาลในพื้นที่ ของ กรมอุทยานหรือไม่ ในทางกลับกัน ศูนย์รักษาพยาบาลในพื้นที่ ของ กรมอุทยาน สามารถเทียบกับ ศูนย์รักษาพยาบาลในพื้นที่ ของ WFFT หรือไม่?
-สวัสดภาพของสัตว์ ใน “สถานที่ดังกล่าว” เหมาะสมสําหรับสัตว์จริงหรือ?
-สิ่งใดกันแน่ เป็นสิ่งที่จําเป็นและสําคัญที่สุดสําหรับสัตว์?
ทีมงานมีความยินดี ที่จะเชิญให้ประชาชนทุกคน NGO ที่เกี่ยวข้องในงานอนุรักษ์สัตว์ป่าและสวัสดิภาพสัตว์, สัตวแพทยสภา สัตวแพทยสมาคม รวมทั้งสื่อมวลชน เข้าเยี่ยมชม ศูนย์รักษาพยาบาลสัตว์ป่า ศูนย์ช่วยเหลือช้าง ของเราได้โดยไม่มีเขตหวงห้ามใดๆทั้งสิ้น
พวกเราจึงมีความประสงค์ให้ กรมอุทยาน เปิดสถานที่ให้เข้าชมได้เช่นเดียวกับที่พวกเราเปิด ประชาชนจะได้ตัดสินใจได้
ขอขอบคุณ เจ้าหน้าที่กรมอุทยานทุกคนที่ได้โทรศัพท์และส่งข้อความให้กําลังใจและสนับสนุน ทางทีมงานรู้สึกซาบซึ้ง และทราบดีว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นการกระทําที่น่าละอาย แต่เราเข้าใจ ว่า ไม่ใช่ทุกคนที่สนับสนุนการกระทําแย่ๆ เป็นแค่ที่รายบุคคลเท่านั้น